Virtual Reality หรือ VR
คือการจำลองสภาพแวดล้อมเสมือนจริง โดยผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 4 ได้แก่ การรับรู้จากการมองเห็น เสียง สัมผัส แม้กระทั่งกลิ่นโดยจะตัดขาดผู้ใช้งานออกจากสภาพแวดล้อมปัจจุบัน เพื่อเข้าไปสู่ภาพที่จำลองขึ้นมา
ปัจจุบันเทคโนโลยี Virtual Reality จะแบ่งได้ 4 ประเภทหลักๆ คือ
1.Simulation คือ การจำลองสถานการณ์ของเหตุการณ์หนึ่ง ๆขึ้นมาด้วยภาพ 3 มิติ เสมือนผู้ใช้งานได้เข้าไปอยู่ในสถานที่เหล่านั้นจริง ๆ
Application คือ ซอฟต์แวร์ หรือโปรแกรมที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้สมาร์ทโฟนได้สะดวกและง่ายดายมากยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยเพิ่มความสามารถให้กับสมาร์ทโฟน โดยรวมแล้ว Application จะเน้นการใช้งานเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานนั่นเอง
Augmented Reality หรือ AR คือ การรวมสภาพแวดล้อมจริงกับวัตถุเสมือนเข้าด้วยกันในเวลาเดียวกันโดยวัตถุเสมือนที่ว่าอาจจะเป็นภาพ, วิดิโอ, เสียง, ข้อมูลต่างๆที่ประมวลผลมาจากคอมพิวเตอร์, มือถือ, เทปเล็ต, หรืออุปกรณ์สวมใส่ขนาดเล็กต่างๆทำให้ผู้ใช้งานสามารถตอบสนองกับสิ่งที่จำลองนั้นได้
Game คือ ลักษณะของกิจกรรมของมนุษย์ เพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง เกมประกอบด้วยเป้าหมาย กฎเกณฑ์ การแข่งขันและปฏิสัมพันธ์ เกมมักจะเป็นการแข่งขันทางจิตใจหรือด้านร่างกาย หรือทั้งสองอย่างรวมกัน ซึ่งส่งผลให้เกิดพัฒนาการของทักษะ ใช้เป็นรูปแบบของการออกกำลังกายหรือการศึกษา
Virtual Reality คือ เทคโนโลยีในการจำลองสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่ทำให้ผู้ใช้เกิดรู้สึกเสมือนได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ หรือเหตุการณ์ตามเนื้อหาโดย มองผ่านเลนส์แว่นไปยังจอขนาดเล็กที่ครอบตาผู้ใช้ทั้งสองข้างเพื่อให้เกิดมุมมองภาพเป็นสามมิติโดยจอภาพจะเคลื่อนไหวตามมุมมองของผู้ใช้อีกด้วย
PC VR หรือ VR ที่เชื่อมต่อกับ PC เพื่อใช้ในการควบคุมซึ่งมีหลายบริษัทที่ผลิตออกมาแข่งขันกันเป็นอย่างมากแต่ที่เด่นๆในตลาดตอนนี้ก็มี HTC Vive และ Oculus Rift
“มารู้จักอุปกรณ์สำคัญของ VR กันก่อน”
1.HTC Vive
เป็นอุปกรณ์ VR เชื่อมต่อกับ PC ด้วยออฟชั่นเสริมและอุปกรณ์พ่วงที่มากมายจึงทำให้มีราคาสูงกว่า Oculus Rift “200 USD” และแพงกว่า PS VR ถึงเท่าตัว HTC Vive
จะมุ่งเน้นการเคลื่อนไหว ที่มากกว่า VR ตัวอื่นๆ จึงจำเป็นต้องใช้พื้นที่หน้ากล้อง มากถึง 3×4เมตรอีกทั้งยังต้องติดตั้งอุปกรณ์ในมุมสูงซึ่งค่อนข้างยุ่งยากนัก ทำให้ไม่เหมาะกับผู้ใช้งานที่มีพื้นที่จำกัด
2.Oculus Rift
เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อ PC มีราคาเริ่มต้นที่ต่ำกว่า HTC Vive และ มี Contents แยกบน Store ของตัวเองเนื่องจากเคยเปิดจำหน่าย Oculus Rift Development Kit (ตัวทดสอบ) ออกไปตั้งแต่ปี 2013 นับเป็นจุดเริ่มต้นของกระแส VR
สิ่งที่แตกต่างระหว่าง HTC Vive กับ Oculus Rite
คือ “HTC Vive” จะใช้ตัวจับการเคลื่อนไหวสองมุม เพื่อตรวจจับ-แจ้งเตือนผุ้เล่นเมื่อใกล้ออกนอกพื้นที่ส่วน “Oculus Rite” นั้นจะมีเพียงกล้องหน้าตัวเดียวเท่านั้น
Unity เป็น Game Engine ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้เรา สามารถสร้างเกมได้ง่ายขึ้นโดยนำการแสดงผลแบบ 3 มิติเข้ามาช่วย ทำให้เราไม่จำเป็นต้องก้มหน้าก้มตาเขียนโค๊ดอย่างเดียวและยังทำให้เรามองเห็นภาพรวมของเกมเราได้ง่ายขึ้นด้วย
ยกตัวอย่างเช่น คุณต้องการให้ตัวละครของคุณเริ่มต้นในเกมด้วยการยืนอยู่หน้าบ้านแทนที่คุณจะต้องมานั่งคำนวณว่าจุดพิกัดของบ้านคือเท่าไร ? และต้องขยับมากี่หน่วยจึงจะถึงหน้าบ้านคุณก็สามารถใช้เมาส์ลากตัวละครของคุณมาวางที่หน้าบ้านแทนได้เลย ง่ายกว่าเยอะ!
แต่อย่าลืมว่า การคำนวณด้วยคณิตศาสตร์ยังไงก็ให้ผลที่แม่นยำกว่าการประมาณค่าด้วยมือ อยู่แล้วอย่าลืมจุดนี้ไปหล่ะ !
การศึกษาที่จะถูกปฏิวัติด้วย Virtual Reality (VR)
การศึกษาแบบดั้งเดิมก็จะสอนนักเรียนตามหนังสือ หรือดูผ่านวิดิโอ ซึ่งในอนาคต VR อาจกลายเป็น 1 ในเครื่องมือแห่งการเรียนรู้ ที่สำคัญก็เป็นได้ จากการที่คุณครูสอนเด็ก ๆ เกี่ยวกับโลกดึกดำบรรพ์ ผ่านหนังสือเรียน อาจเปลี่ยนเป็นการให้เด็กสวมแว่น VR เข้าไปในโลกที่เต็มไปด้วยไดโนเสาร์ แล้วคุณครูก็ให้ความรู้ไปพร้อม ๆ กับเด็ก ๆ ได้เห็นไดโนเสาร์เสมือนจริงไปด้วย มันคงจะวิเศษน่าดู เเละที่สำคัญ Virtual Reality ให้โอกาสที่กว้างขวางในอุตสาหกรรมทุกประเภทที่มี เช่น
การเล่นเกม ที่ผู้เล่นนั้นนั่งเล่มเกมอยู่ในโลกจริง (Real world) ส่วนตัวละครที่ผู้เล่นควบคุมจะอยู่ในโลกเสมือน (Virtual world) แต่ VR จะทำลายเส้นแบ่งดังกล่าวเพราะ VR จะพาผู้เล่นเข้าไปอยู่ในเกมเลย ผู้เล่นจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเกมจริง ๆและเกมที่รองรับ VR ก็ยังมีจำนวนน้อยมาก แต่ในอนาคต VR จะเข้ามามีอิทธิพลต่อกับวงการเกมมากขึ้นและพลิกโฉม การเล่นเกมอย่างแน่นอน
การชมภาพยนตร์ ที่ไฮเทคที่สุดในตอนนี้ก็คือระบบ 4 มิติ มีควัน มีกลิ่น มีระบบสั่นสะเทือนแต่ในอนาคตที่ VR มีบทบาทมากขึ้น ภาพยนตร์อาจไม่ได้วางผู้ชมไว้ในฐานะคนดู (Spectator) แต่อาจเป็นตัวละครหนึ่งในเรื่องที่เป็นผู้เฝ้ามอง (Observer) สิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องการดูภาพยนตร์ก็คงไม่จำกัดอยู่ที่ 180 องศา อีกต่อไปแต่ผู้ชมจะสามารถมองได้ 360 องศา เพื่อรับรู้เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ตามการวิจัยตลาดเช่นเดียวกับโดย Payscale และ Neuvoo เงินเดือนประจำปีเฉลี่ยของนักพัฒนา VR Developer ในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ $ 100K นักพัฒนาซอฟต์แวร์ระดับกลาง เเละนักออกแบบ UX นักออกแบบแอนิเมชั่นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอ 360 องศาผู้พัฒนาส่วนต่อประสานผู้ใช้ต่างๆ อยู่ที่ประมาณ $ 70,000-80,000 ดอลลาร์
หรือนักพัฒนาซอฟต์แวร์ VR Developer ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องมือเกมนักพัฒนาซอฟต์แวร์ AR นักออกแบบ 3D ระดับสูงอยู่ที่ประมาณ $ 130,000-180,000 ดอลลาร์ ที่นี้พอรู้จัก VR Developer กันคราวๆ ไปเเล้ว Codekids เเถมคำศัพท์ที่ให้เด็กๆไว้จำ เพราะในอนาคตหรือปัจจุบันศัพท์เเละความหมายพวกนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กทุกคนจะต้องทราบเเละจำเป็นต้องรู้ไว้
ขอบคุณข้อมูลจาก :
- https://thinkmobiles.com/blog/how-much-cost-to-hire-vr-developer/?fbclid=IwAR1ZX8LLMK91lwTnr4J_6hf61jXoaYFPYhSeLnYWnLIykiKrY5gsxeB7v1Q
- https://www.bossup.co.th/site/innovation/4-things-vr-revolution/?fbclid=IwAR0ueWeb4-Y2NYS_p2HMhk3qDlXxU0PvPAbGE21R3XOfE9-bqeC4p1RfUGk
- https://medium.com/@phuwach/อยากสร้างเกมเป็น-ทำยังไงดี-พื้นฐาน-unity3d-ฉบับมือใหม่-vr1-230296b30bb1
✨บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
- แจกคู่มือใบงาน Pokémon Unplugged เกมฟรี!! 23 โปรเจคพร้อมเฉลย (ลิขสิทธิ์แท้แน่นอน)
- รู้จัก Pokémon Quest ผจญภัยโลก Block แบบโปเกม่อน (สาย Roblox ชอบแน่อน!!)
- สอนสร้าง Christmas Tree ด้วย Python แบบง่ายๆ 2 โปรเจค มาดูกันเลย!!
- สอนสร้างงานศิลปะทำภาพแบบ ArtCode แบบง่ายๆ ไม่กี่คลิก (ที่นี่!!)
- รู้จัก Google Arts & Culture เรียนรู้ภาพและศิลปะผ่านเกมมากมาย (เหมาะสำหรับเด็ก)